วิปัสสนาภาวนา
อ.อาณัตชัย เหลืองอมรชัย
ศาสนาพุทธในประเทศศรีลังกา
มหาวิหาร กับ อภัยคีรีวิหาร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
รอ
การตรวจสอบ พุทธศาสนา พระพุทธศาสนาได้เผยแพร่จากอินเดียสู่ลังกา
เมื่อประมาณ พ.ศ. 236
ในคราวที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงอุปถัมภ์การสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ 3
ในอินเดีย
และได้ส่งพระเถระผู้รอบรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดิน
แดนต่างๆ รวม 9 สายด้วยกัน ใน 9 สายนั้น สายหนึ่งได้มายังเกาะของชาวสิงหล
ได้แก่ประเทศศรีลังกาในปัจจุบัน โดยการนำของพระมหินทเถระ
ในรัชสมัยของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ
ซึ่งเป็นกษัตริย์ของลังกาและเป็นพระสหายของพระเจ้าอโศกมหาราช
แต่ทั้งสองพระองค์ยังไม่เคยพบกัน
พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะทรงศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ได้อุทิศมหาเมฆวันอุทยานเป็นวัด เรียกว่า “ วัดมหาวิหาร ”
ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ พระพุทธศาสนาเข้าสู่ลังกาในยุคนี้
เป็นพุทธศาสนาแบบเถรวาท
พระมหินทเถระได้นำเอาพระไตรปิฎกและอรรถกถาไปสู่ลังกาด้วย
การเดินทางไปสู่ลังกาของพระมหินทเถระในครั้งนั้น
นอกจากเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว
ยังถือว่าเป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมของชาวลังกา
เพราะท่านมิเพียงแต่นำเอาพระพุทธศาสนาไปเท่านั้น ท่านยังได้นำเอาอารยะธรรม
ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม เข้าไปด้วย ลำดับต่อมา
พระนางอนุฬาเทวีมเหสีและสตรีบริวารจำนวนมาก ปรารถนาจะอุปสมบทบ้าง
พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะจึงทรงส่งคณะทูตไปสู่ราชสำนักของพระเจ้าอโศก
ทูลขอพระนางสังฆมิตตาเถรี และกิ่งพระศรีมหาโพธิ์ ด้านทักษิณมาสู่ลังกาทวีป
และพระนางสังฆมิตตาเถรีเป็นอุปัชญาย์บรรพชาอุสมบทแก่สตรีชาวลังกาได้ตั้งคณะ
ภิกษุณีขึ้นในลังกา
สงครามกับชาวทมิฬ และความเสื่อมของพุทธศาสนา
เมื่อ พ.ศ. 400 เศษ รัชสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามนีอภัย
ได้มีพวกทมิฬเข้ามาตีและเข้าครองอนุราธปุระเป็นเวลา 14 ปี
จนพระองค์ต้องเสียราชบัลลังก์ เสด็จลี้ภัยไปซ่องสุมกำลัง
ระหว่างนั้นทรงได้รับการอุปถัมภ์จากพระมหาติสสะ
ต่อมากลับมาครองราชย์อีกครั้ง ได้ทรงให้ทำการสังคายนา
และได้ทำการจารึกพระพุทธพจน์ลงในใบลานเป็นครั้งแรก ได้อุปถัมภ์พระมหาติสสะ
พร้อมได้สร้างวัดถวาย คือวัด อภัยคีรีวิหาร
จนทำให้พระภิกษุชาวมหาวิหารไม่พอใจ จนเป็นเหตุให้คณะสงฆ์แตกออกเป็น 2 คณะ
คือ คณะมหาวิหาร กับคณะอภัยคีรีวิหาร
ตั้งแต่นั้นมาคณะสงฆ์ลังกาได้แตกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ แต่ยังเป็นนิกายเถรวาท
มีลักษณะต่างกันคือ คณะมหาวิหาร ฝ่ายอนุรักษนิยม
ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระธรรมวินัยใด ๆ
และยังตำหนิรังเกียจภิกษุต่างนิกายว่าเป็นอลัชชี คณะอภัยคีรีวิหาร
เป็นคณะที่เปิดกว้าง ยอมรับเอาความคิดเห็นต่างนิกาย
ไม่รังเกียจภิกษุต่างนิกาย ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12 ถึง พุทธศตวรรษที่ 1717
เป็นยุคที่ลังกาเดือดร้อนวุ่นวายเพราะการรุกรานจากอินเดียบ้าง
ความไม่สงบภายในบ้าง ในระหว่างยุคนี้เองที่ภิกษุณีสงฆ์สูญสิ้น
และพระภิกษุสงฆ์เสื่อม จนกระทั่งเมื่อพระเจ้าวิชัยพาหุที่ 1
มีพระราชประสงค์จะฟื้นฟูศาสนาในปี พ.ศ. 1609
ทรงหาพระภิกษุที่อุปสมบทถูกต้องแทบไม่ครบ 5 รูป
และต้องทรงอาราธนาพระสงฆ์จากพม่าตอนใต้มากระทำอุปสมบทกรรมในลังกา
ชำระพระศาสนา
เมื่อ พ.ศ. 1697 - พ.ศ. 1730 พระเจ้าปรากรมพาหุที่ 1
(เป็นพระโอรสของพระเจ้าวิชัยพาหุที่ 1)
ทรงเป็นมหาราชที่สำคัญที่สุดองค์หนึ่งของลังกา
ทรงปกครองบ้านเมืองได้สงบเรียบร้อย
ในด้านการพระศาสนาทรงชำระการพระศาสนาให้บริสุทธิ์
ยังคณะสงฆ์ให้รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อีกครั้งหนึ่ง
พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ปกครองสงฆ์ทั้งประเทศเป็นครั้งแรก
ทรงสร้างวัดวาอาราม เป็นยุคที่มีศิลปกรรมงดงาม
และลังการได้กลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนา
ปรากฏเกียรติคุณแพร่ไปทั่ว มีพระสงฆ์และนักปราชญ์เดินทางจากประเทศใกล้เคียง
เพื่อมาศึกษาพระพุทธศาสนาในลังกา แล้วนำไปเผยแพร่ในประเทศของตนเป็นอันมาก
พระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองอยู่ระยะหนึ่ง
แต่ภายหลังรัชกาลนี้แล้วพวกทมิฬจากอินเดียก็มารุกรานอีกและได้เข้าตั้งถิ่น
ฐานมั่นคงขยายอาณาเขตออกไปเรื่อย ๆ อาณาจักรสิงหลต้องถอยร่นทางใต้
ต้องย้ายเมืองหลวงอยู่บ่อย ๆ ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญได้ยาก
นอกจากจะเพียงธำรงรักษาความมั่นคงเข้มแข็งไว้เท่านั้นเหตุการณ์สำคัญครั้ง
หนึ่ง คือ ใน พ.ศ. 2019 พระภิกษุคณะหนึ่งจากพม่า
ได้มารับการอุปสมบทกรรมที่ลังกาและนำคัมภีร์ภาษาบาลีเท่าที่มีอยู่ไปยังพม่า
โดยครบถ้วนเมื่อประมาณ พ.ศ. 2050
ยุคโปรตุเกส และฮอลันดาชนชาติโปรตุเกสได้เข้ามาค้าขาย และถือโอกาสรุกรานชาวสิงหลขณะที่กำลังอยู่ในความวุ่นวาย พวกโปรตุเกสก็ได้ดินแดนบางส่วนไว้ครอบครอง และพยายามบีบบังคับประชาชนที่อยู่ใต้ปกครองให้นับถือศาสนาคริสต์นิกาย คาทอลิก คราวหนึ่งถึงกับยึดอำนาจกษัตริย์ได้ ทำให้พุทธศาสนากลับเสื่อมถอยลง จนถึงกับนิมนต์พระสงฆ์จากประเทศพม่ามาให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวลังกา ต่อมาชาวฮอลันดาได้เข้ามาค้าขายในลังกาและได้ช่วยชาวลังกาขับไล่พวกโปรตุเกส ได้ในปี พ.ศ. 2200 แล้วฮอลันดาก็เข้ายึดครองพื้นที่ที่ยึดได้ และนำเอาคริสต์ศาสนามาเผยแพร่ พยายามกีดกันพระพุทธศาสนา แต่ไม่สำเร็จ สถานการณ์พุทธศาสนาในขณะนั้นย่ำแย่ลงมาก เนื่องจากเกิดการแก่งแย่งกันแล้ว พุทธศาสนาก็ถูกกดขี่จากพวกโปรตุเกสและฮอลันดา ประชาชนไม่น้อยก็ไปเข้ารีตกับศาสนาคริสต์ พวกชาวพุทธในใจกลางเกาะมัวแต่รบราฆ่าฟันกัน พุทธศาสนาก็ขาดผู้อุปถัมภ์และยังเกิดวิกฤตการณ์ข้าวยากหมากแพงอย่างรุนแรง จนพระภิกษุสงฆ์ต้องทิ้งวัดวาอาราม จนไม่มีพระภิกษุหลงเหลืออยู่เลย คงมีสามเณรเหลืออยู่บ้าง โดยมีสามเณรสรณังกรเป็นหัวหน้า ไป
นิมนต์พระสงฆ์จากสยาม
เมื่อ พ.ศ. 2294 (พ.ศ. 2293 ตามการนับแบบไทย)
สามเณรผู้ใหญ่ชื่อสามเณรสรณังกรได้ทูลขอให้พระเจ้ากิตติราชสิงหะ
กษัตริย์ลังกาในขณะนั้น ให้ส่งทูตมาขอนิมนต์พระสงฆ์จากเมืองไทย
(กรุงศรีอยุธยา) ไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ณ ลังกาทวีป
สมัยนั้นตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าบรมโกศจึงได้ส่งพระสมณทูตไทยจำนวน 10 รูป มีพระอุบาลีเป็นหัวหน้า
เดินทางมาประเทศลังกา มาทำการบรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรชาวลังกาถึงสามพันคน ณ
เมืองแคนดี้ สามเณรสรณังกรซึ่งได้รับการอุปสมบทในครั้งนี้
ได้รับการสถาปนาจากกษัตริย์ลังกาให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช
จึงได้เกิดคณะสงฆ์นิกายสยามวงศ์ หรือนิกายสยามวงศ์/อุบาลีวงศ์ขึ้นในลังกา
ต่อมาพระอุบาลีเถระเกิดอาพาธและได้มรณภาพในลังกาในเวลาต่อมา
ในสมัยเดียวกันนั้นได้มีสามเณรคณะหนึ่งเดินทางไปขอรับการอุปสมบทในประเทศ
พม่า แล้วกลับมาตั้งนิกาย “ อมรปุรนิกาย” ขึ้น
อีกคณะหนึ่งได้เดินทางไปขออุปสมบทจากคณะสงฆ์เมืองมอญ กลับมาตั้งนิกาย “
รามัญนิกาย” ขึ้น ในสมัยนี้ได้มีนิกายเกิดขึ้นในลังกา 3 นิกาย คือ
1.นิกายสยามวงศ์ หรืออุบาลีวงศ์ 2.นิกายอมรปุรนิกาย 3.นิกายรามัญ นิกายทั้ง
3 นี้ ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ยุคอังกฤษปกครอง และปัจจุบัน
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2340 และอีก 19 ปีต่อมา อังกฤษได้ครองอำนาจแทนฮอลันดา
ขยายอำนาจไปทั่วประเทศลังกา โดยรบชนะกษัตริย์แคนดี
ได้ตกลงทำสนธิสัญญารับประกันสิทธิของฝ่ายลังกาและการคุ้มครองพระศาสนา
ครั้นต่อมาได้เกิดกบฏขึ้น เมื่อปราบกบฏได้สำเร็จ
อังกฤษได้ดัดแปลงสนธิสัญญาเสียใหม่
ระบบกษัตริย์ลังกาจึงได้สูญสิ้นตั้งแต่บัดนั้น
ตั้งแต่อังกฤษเข้ามาปกครองลังกาตอนต้น
พระพุทธศาสนาได้รับความเป็นอิสระมากขึ้น ด้วยสนธิสัญญาดังกล่าว
ครั้นต่อมาภายหลังจากการปกครองของอังกฤษประมาณ 50 ปี
พระพุทธศาสนาก็ถูกกีดกันและต่อต้านจากศาสนาคริสต์
รัฐถูกบีบจากศาสนาคริสต์ให้ยกเลิกสัญญาที่คุ้มครองพุทธศาสนา
บาทหลวงของคริสต์ได้เผยแผ่คริสต์ศาสนาของตน และโจมตีพุทธศาสนาอย่างรุนแรง
โดยได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ
นับตั้งแต่อังกฤษเข้าปกครองลังกามาเป็นเวลากว่า 300 ปี
จนได้รับอิสรภาพเมื่อ พ.ศ. 2491
จากการที่พุทธศาสนาถูกรุกรานเป็นเวลาช้านานจากศาสนาคริสต์
ทำให้ชาวลังกามีความมุ่งมานะที่จะฟื้นฟูพุทธศาสนาในลังกาอย่างจริงจัง
จนปัจจุบันประเทศศรีลังกา
ได้เป็นประเทศที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
อ้างอิง- ปิยนารถ(นิโครธา) บุนนาค. ประวัติศาสตร์และอารยธรรมของศรีลังกาสมัยโบราณถึงก่อนสมัยอาณานิคม และความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่าง ศรีลังกากับไทย. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ๒๕๓๔.
- พนิดา อังจันทร์เพ็ญ. มนต์ขลังลังกา. กรุงเทพน : โอ เอส พรินติ้งเฮาส์. มปป. พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) พระพุทธศาสนาในอาเซีย. กรุงเทพฯ ธรรมสภา, ๒๕๔๐. 3.พระราชธรรมนิเทศ,(ระแบบ ฐิตญาโณ). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพฯ. มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๖.
- สมเสียม แสนขัติ, พระมหา. สยามวงศ์ในลังกา. พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ
- พระสุพรหมยานเถระ ( ครูบาพรหมา พฺรหฺมจกฺโก) มปส. ๒๕๓๑.
- เสถียร โพธินันทะ. ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ฉบับมุขปาฐะ เล่ม ๒ กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๓๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น